1. การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดทางอ้อม เนื่องจากเป็นการวัดคุณลักษณะนามธรรมที่อยู่ภายในตัวบุคคล
ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง เช่น การวัดระดับสติปัญญา
การวัดความคิดเห็น การวัดเจตคติ การวัดจริยธรรม ดังนั้น
เพื่อจะวัดคุณลักษณะเหล่านี้ผู้สอนจะต้องหาสิ่งเร้ามากระตุ้นให้บุคคลแสดงคุณลักษณะที่ต้องการวัดออกมาในรูปพฤติกรรมที่สังเกตได้ก่อน
แล้วจึงวัดพฤติกรรมที่แสดงออกมาว่ามีปริมาณเท่าใด
หรือมีคุณภาพเป็นอย่างไร เช่น
ถ้าต้องการรู้ว่าผู้เรียนมีความรู้ทางคณิตศาสตร์หรือไม่ ผู้สอนต้องแปลง
ความรู้ทางคณิตศาสตร์ ออกมาเป็นพฤติกรรมที่วัดได้ เช่น
ผู้เรียนสามารถบวกเลขสองหลักได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหากผู้เรียนทำได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดก็สรุปย้อนกลับไปว่าผู้เรียนมี
ความรู้ทางคณิตศาสตร์
หรือถ้าต้องการทราบว่าผู้เรียนมีความรับผิดชอบมากน้อยเพียงใด
ส่งตรงเวลาหรือไม่ ทำงานครบถ้วนหรือไม่
แล้วจึงย้อนสรุปว่าผู้เรียนมีหรือไม่มีความรับผิดชอบซึ่งแตกต่างจากการวัดทางวิทยาศาสตร์ซึ่งวัดสิ่งที่มีตัวตน
จับต้องได้ จึงสามารถนำเครื่องมือไปวัดได้โดยตรง เช่น ส่วนสูง
น้ำหนัก ปริมาณ อุณหภูมิ ความดัน แรงกด
2. การวัดผลการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่สมบูรณ์ คือ
ไม่สามารถวัดคุณลักษณะหรือพฤติกรรมต่างๆ
ที่ต้องการได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
เนื่องจากพฤติกรรมที่เป็นผลของการเรียนการสอนเป็นพฤติกรรมที่แฝงอยู่ภายในตัวบุคคล
ไม่สามารถกำหนดรายละเอียดของพฤติกรรมได้ครบถ้วน
รวมทั้งไม่สามารถกำหนดขอบเขตของพฤติกรรมได้อย่างแน่นอน ดังนั้น
ในการวัดผลทางการศึกษาจะต้องเลือกวัดพฤติกรรมที่สำคัญจำนวนหนึ่งซึ่งถือเป็นตัวแทนของพฤติกรรมทั้งหมด
3. การวัดผลการศึกษามีความคลาดเคลื่อน
ความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ทั้งในการวัดทางวิทยาศาสตร์และการวัดทางจิตวิทยา
เช่น
การชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งอาจจะคลาดเคลื่อนเนื่องจากเครื่องชั่งหย่อนประสิทธิภาพหรืออ่านค่าน้ำหนักผิด
การวัดผลทางการศึกษาก็มีความฉลาดเคลื่อนเนื่องจากเป็นการวัดพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกมาเมื่อมีสิ่งเร้าไปกระตุ้น
พฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นอาจไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะสังเกตได้
หรืออาจแกล้งทำ หรืออาจไม่ใช่เป็นผลจากการกระตุ้นของสิ่งที่นำไปเร้า
การวัดผลทางการศึกษาจึงมีความเคลื่อนมาก เพราะพฤติกรรมส่วนใหญ่ต้องการวัดมีลักษณะซับซ้อน
สังเกตหรือจับต้องไม่ได้ เช่น ความรู้ ความเชื่อ
ความคิดเห็น
4. การวัดผลทางการศึกษาเป็นการวัดเชิงสัมพัทธ์
ในการวัดทางวิทยาศาสตร์นั้น ข้อมูลที่ได้จากการวัดจะมีความหมาย คือ
ให้ความรู้ความเข้าใจได้ในทันที เช่น วิชัยสูง 150 เซนติเมตร แสดงว่าเป็นคนเตี้ย
หรือฝรั่งผลนี้น้ำหนัก 1
กิโลกรัม แสดงว่าผลโตมาก
ในขณะที่ข้อมูลที่เป็นผลจากการวัดทางการศึกษาไม่มีความหมายในตัวเอง
อธิบายไม่ได้
จะต้องนำไปเทียบเคียงหรือเปรียบเทียบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสียก่อนจึงบอกได้ว่าคะแนนของข้อสอบนั้นมีความหมายอย่างไร
(มาก-น้อย/เก่ง-อ่อน) ตัวอย่างเช่น ในการสอบวิชาภาษาไทยของนักเรียน
40 คนซึ่งมีคะแนนเต็ม 100 คะแนนผู้ที่จะสอบผ่านจะต้องสอบได้คะแนนตั้งแต่ 50 คะแนนขึ้นไป จากคะแนนพบว่า ปัญญาสอบได้
45 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 65 คะแนน ซึ่งคะแนนของปัญญาจะมีความหมายต่อเมื่อนำคะแนนไปเปรียบเทียบกับสิ่ง5. การวัดผลทางการศึกษาเป็นการวัดที่ไม่มีศูนย์แท้ เนื่องจากเป็นการวัดที่ไม่ทราบจุดเริ่มต้นที่แสดงถึงพฤติกรรมที่ว่างเปล่า ข้อมูลที่ได้จากการวัดผลทางการศึกษาซึ่งส่วนใหญ่คือจำนวนหรือตัวเลขซึ่งเรียกว่า คะแนน เป็นข้อมูลในระดับอันตรภาค ซึ่งข้อมูลในระดับนี้ไม่มีศูนย์แท้ คะแนน 0 คะแนน ในทางการศึกษาไม่ได้หมายความว่า ไม่มี หรือ ว่างเปล่า แต่มีความหมายว่า ผู้ที่ได้คะแนน 0 คะแนนจากการทำแบบทดสอบข้อสอบไม่ถูกเลยแม้แต่ข้อเดียว ดังนั้นจะแปลความว่าผู้เรียนคนนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจในวิชานั้นๆ เลยไม่ได้ ดังนั้นคำว่า 0 คะแนน ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความรู้ที่ว่างเปล่า จึงไม่ได้แปลว่าผู้สอบไม่มีความรู้ และผู้เรียนคนหนึ่งสอบได้ 40 คะแนน อีกคนหนึ่งสอบได้ 20 คะแนน ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนคนแรกมีความรู้เป็น 2 เท่าของอีกคนหนึ่ง หลักการวัดผลและประเมินผลการศึกษาการวัดผลการศึกษาเป็นการวัดทางสังคมศาสตร์หรือจิตวิทยา ครอบคลุมคุณลักษณะที่ต้องการวัดใน 3 ด้าน คือ ด้านสติปัญญา เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เชาว์ปัญญา ความคิด